Home | About us | Guestbook
• ความรู้เกี่ยวกับหลักเศรษฐศาสตร์
• ธนาคารแห่งประเทศไทย
• กระทรวงการคลัง
• กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
• Financial Times
• The Economist
• Useful links
อธิบายถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อสินค้าเมื่อราคาสินค้าเปลี่ยนแปลงไป กฎของอุปสงค์กล่าวว่า "ปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในขณะใดขณะหนึ่งจะมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับราคาสินค้าชนิดนั้น" โดยมีข้อสมมติให้ปัจจัยอื่นๆคงที่ แสดงว่า
เมื่อกำหนดให้สิ่งอื่นๆ คงที่
ผลดังกล่าวเราเรียกว่า ผลของราคา (price effect) เป็นผลมาจากสาเหตุ 2 ประการ คือ 1. เมื่อราคาสินค้าชนิดนั้นลดลง ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าสินค้าชนิดนั้นมีราคาถูกเมื่อเทียบกับราคาของสินค้าชนิดอื่นๆ จึงลดการบริโภคสินค้าชนิดอื่นลง แล้วหันมาบริโภคสินค้าชนิดนั้นเพิ่มขึ้นแทนการบริโภคสินค้าชนิดอื่นที่ลดลง ในตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นสูงขึ้น ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าสินค้าชนิดนั้นมีราคาแพงเมื่อเทียบกับราคาของสินค้าชนิดอื่นๆ จึงลดการ บริโภคสินค้าชนิดนั้นลง แล้วหันมาบริโภคสินค้าชนิดอื่นๆเแทน เราเรียกผลของการเปลี่ยนแปลงปริมาณการบริโภคอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในราคาเปรียบเทียบ (Relative price) ของสินค้าว่า ผลของการใช้แทนกัน (Substitution effect) 2. เมื่อราคาสินค้าชนิดนั้นลดลง ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเขามีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะรายได้จำนวนเดิมจะมีอำนาจซื้อมากขึ้น ดังนั้น เขาจึงซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นสูงขึ้น ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเหมือนกับว่าเขามีรายได้น้อยลง ดังนั้น เขาจึงซื้อสินค้าลดลง เราเรียกผลของการเปลี่ยนแปลงปริมาณการบริโภคอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงในอำนาจซื้อของเงินรายได้ว่า ผลของรายได้ (Income effect)
สรุป : ผลราคา = ผลของการใช้แทนกัน + ผลของรายได้
» อุปสงค์ต่อราคา (Price Demand : Dp) คือ ปริมาณซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ณ ระดับราคาต่างๆ ของสินค้า ในขณะใดขณะหนึ่ง โดยกำหนดให้ปัจจัยชนิดอื่นๆ คงที่ สามารถเขียนในรูปของฟังก์ชัน (Fucntiion Demand)คือ
Qdx = f(Px) ซึ่งสามารถแสดงความสัมพันธ์ได้ดังนี้
จากสมการสามารถอธิบายตัวแปรในสมการได้ว่า
<คลิกที่นี่ เพื่อดูตัวอย่าง>
ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ของผู้บริโภค กับปริมาณเสนอสินค้าจะเป็นเช่นใดขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อ สมการ อุปสงค์ต่อรายได้
ความสัมพันธ์จะเป็นเช่นใด ขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า 2 ชนิดว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างไร 1. สินค้าที่ใช้ประกอบกัน ( Complementary goods ) ความสัมพันธ์
° ถ้า Pa เพิ่มขึ้น ในขณะที่ Pb คงที่ จะส่งผลให้ Qdb ลดลง ° ถ้า Pa ลดลง ในขณะที่ Pb คงที่ จะส่งผลให้ Qdb เพิ่มขึ้น เขียนเป็นสมการอุปสงค์ คือ Qdb = a - bPa
รูปที่ 2.5 เส้น Engel Curve
จากรูปที่ 2.5 เป็นเส้นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้ของผู้บริโภคกับปริมาณซื้อสินค้า ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข ของ อุปสงค์ต่อรายได้ (Income Demand) แบ่งออกเป็น 4 ระยะดังนี้
ตารางที่ 1.1 อุปสงค์ของ นาย ก. ที่มีต่อเนื้อหมูใน 1 สัปดาห์
รูปที่ 1.1 เส้นอุปสงค์ของ นาย ก. ที่มีต่อเนื้อหมูใน 1 สัปดาห์
เมื่อพิจารณาความต้องการซื้อส้มของนาย ก. และนาย ข. ณ ระดับราคาส้มกิโลกรัมละ 70 บาท นาย ก. ซื้อส้ม 1 กิโลกรัม ส่วนนาย ข. ซื้อส้ม 2 กิโลกรัม ดังนั้น อุปสงค์ส่วนบุคคลของนาย ก. คือ 1 กิโลกรัม อุปสงค์ส่วนบุคคลของนาย ข. คือ 0 กิโลกรัม ส่วนอุปสงค์ของตลาดคือ 1 + 0 = 1 กิโลกรัม ในทำนองเดียวกัน เมื่อเราทราบอุปสงค์ของนาย ก. และนาย ข. ณ ระดับราคาอื่นๆ เราก็สามารถหาอุปสงค์ของตลาด ณ ระดับราคาต่างๆ กันได้ ดังแสดงในช่องสุดท้ายของตาราง เราอาจแสดงการหาอุปสงค์ของตลาดจากอุปสงค์ของแต่ละบุคคลโดยรูปได้ดังนี้
รูปที่ 1.2 อุปสงค์ของ นาย ก. นาย ข. และอุปสงค์ของตลาดเนื้อหมู ใน 1 สัปดาห์
ปัจจัยที่กำหนดอุปสงค์ของสินค้านอกจากราคาของสินค้าแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีก ดังนี้
การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ 2 แบบคือ
1. การเปลี่ยนแปลงปริมาณของอุปสงค์ (Change in quantity demand) เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ เนื่องจากราคาสินค้าชนิดนั้นเปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ข้อสมมุติปัจจัยอื่นๆ ที่กำหนดอุปสงค์คงที่ การเปลี่ยนแปลงปริมาณของอุปสงค์ จะทำให้ปริมาณการเสนอซื้อเปลี่ยนแปลงอยู่บนเส้นอุปสงค์เส้นเดิม ถ้าพิจารณาจากกราฟ การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ ดังกล่าว จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการเคลื่อนไหวอยู่ภายในเส้นอุปสงค์เส้นเดิมจาก จุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง (ตามรูปจากจุด A ไปยัง จุดB)
รูปที่ 1.3 การเปลี่ยนแปลงของปริมานของอุปสงค์ในสินค้า y
2. การเปลี่ยนแปลงระดับอุปสงค์ (Change in demand) เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์เนื่องจากปัจจัยอื่นๆ ที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ เช่น รายได้ ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เปลี่ยนแปลง ภายใต้ข้อสมมุติราคาสินค้าชนิดนั้นคงที่ และส่งผล ให้เส้นอุปสงค์เกิดการเคลื่อนย้ายไปจากเส้นเดิม ถ้าผลการเปลี่ยนแปลงทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นเส้นจะเลื่อนระดับไปด้านขวามือของเส้นเดิม และ ถ้ามีผลให้อุปสงค์ลดลงเส้นจะเลื่อนระดับไปทางซ้ายมือของเส้นเดิม ถ้าพิจารณาจากกราฟ การเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ดังกล่าว จะเป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการเคลื่อนย้ายเส้นอุปสงค์ไปทั้งเส้น จากเส้นเดิมไปสู่เส้นใหม่ โดยถ้าเส้นอุปสงค์เคลื่อนย้ายไปทางขวา ของเส้นเดิมแสดงว่าอุปสงค์เพิ่มขึ้น ถ้าเคลื่อนย้ายไปทางซ้ายแสดงว่าอุปสงค์ลดลง ดังรูป
รูปที่ 1.4 การเปลี่ยนแปลงในระดับอุปสงค์ในสินค้า a
Develop by: Vorapot Vongsarat